ตรัง-เจ้าของเงินสูญจากบัญชี 1.4 ล้าน เตรียมตั้งทนายฟ้องธนาคารเรียกเงินคืน น้ำตาตก! ธนาคารผู้รับฝากเงินไม่เหลียวแล เดินทางเข้าพบผู้จัดการก็หลบหน้า ยืนยันไม่ได้ทำธุรกรรมใดๆผ่านลิงก์ เหตุถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นลิงก์กรมสรรพากร เชื่อ ระบบรักษาความปลอดภัยเงินของธนาคารไม่ดี ทำให้เงินถูกดูดไปได้ง่ายดาย ทนายยืนยัน “เงินดังกล่าวเป็นเงินของธนาคาร ไม่ใช่เงินลูกค้า” ลูกค้าไม่ได้เป็นคนเบิก ธนาคารจะต้องรับผิดชอบ เตรียมฟ้องแพ่งเรียกเงินคืนจากธนาคาร แนะเหยื่อรายอื่น แจ้งความเอาผิดธนาคาร เรียกร้อง “ผบ.ตร.” ลงมาแก้ปัญหา
“ขอเรียกร้องให้พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ลงมาดูแลเรื่องนี้ให้ชาวบ้าน เพราะข้อเท็จจริงที่พบคือ ประชาชนไม่ได้ทำนิติกรรมในการโอน ถอน หรือเอาเงินออกเอง ดังนั้น ธนาคารเองในเมื่อประชาชนไม่ได้เป็นคนโอน ถอน ก็ถือว่าธนาคารไม่มีสิทธิมาหักเงินของลูกค้า”
นายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ชำนาญการ ประจำสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดตรัง(ป.ป.ช.ตรัง)
จากกรณีนางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาวอ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว และนางสาวศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนระบุถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรแจ้งเรื่องค้างภาษี พร้อมแชทไลน์ส่งลิ้งค์อ้างเป็นลิ้งค์เว็บกรมสรรพากรเข้ามา ให้น.ส.นิดา กดลิ้งค์เข้าไปตรวจสอบว่ามีการค้างภาษีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงที่จะต้องยื่นจ่ายภาษี แต่เมื่อกดเข้าไปแล้วโทรศัพท์ค้างขึ้นหน้าจอเป็นสีฟ้า มีโลโก้กรมสรรพากร พร้อมข้อความว่า “668325 อยู่ระหว่างการทำการตรวจสอบชื่อนาม-สกุลห้ามใช้งานโทรศัพท์” และโทรศัพท์ไม่สามารถทำอะไรได้อีก จากนั้นปรากฎว่า ในเวลาและนาทีเดียวกันกับที่โทรศัพท์ค้าง ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้อีกเลย ก็ปรากฎข้อความเงินถูกโอนออกจากบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1,458,000 บาท และอีกแอพพลิเคชั่นธนาคารกรุงไทย จำนวน 10,000 บาท ซึ่งเงินที่โดนดูดไปนั้น ทั้ง 2 บัญชี ล้วนใช้แอพพลิเคชั่นของธนาคารผู้รับฝากเงินกับโทรศัพท์ทั้ง 2 ธนาคาร รีบประสานติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ทราบเบื้องต้นว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีชื่อ น.ส.สุภาพร กุลอามาตย์ ทางธนาคารได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ เงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว และผู้เสียหายเดินทางเข้าพบผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาห้วยยอด แต่ผู้จัดการธนาคารหลบหน้า ไม่ยอมออกมาพบหรือแสดงความรับผิดชอบ
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางครอบครัวผู้เสียหาย ทั้ง 3 คนนั้น ประกอบด้วยนางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาวอ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว และนางสาวศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ล่าสุด ได้นัดพบกับนายไกรสร ชูเพชร ทนายความ และ นายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ชำนาญการ ประจำสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดตรัง(ป.ป.ช.ตรัง) เพื่อให้ช่วยเหลือในการติดตามเงินกลับคืนมา โดยบอกว่า ล่าสุด ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จากธนาคาร และยังไม่มีความหวังว่าจะได้เงินคืน จึงจำเป็นต้องปรึกษากับทนายความ ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องและเป็นข่าวออกไป ทางตำรวจก็ได้เรียกตัวไปสอบปากคำแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น และมีตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดตรังเข้าไปสอบถามข้อมูล นอกจากนั้นได้เดินทางไปที่ธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาห้วยยอด เพื่อขอพบกับผู้จัดการธนาคาร ไปครั้งแรกเจ้าหน้าที่บอกว่าผู้จัดการพักเที่ยง จึงไม่ได้พบ พอตอนบ่าย 2 ทางพนักงานโทรศัพท์มาแจ้งว่า ผู้จัดการมาแล้วให้เข้ามาได้ แต่พอเข้าไปปรากฏว่า ไม่ได้พบผู้จัดการอีก ทำให้ไปเสียเวลาเปล่า ทางเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปที่สายด่วนของธนาคาร แจ้งปัญหา แต่ไม่คืบหน้า ซึ่งมองว่าทางธนาคารไม่คิดจะช่วยเหลือหรือเป็นทุกข์ร้อนแทนลูกค้าเลย ทั้ง ๆ ที่ทางตนเองไม่ได้โอนเงินให้บุคคลอื่นไป แต่ทางธนาคารไม่มีระบบรักษาความเปลอดภัยที่ดี ทางธนาคารควรจะรับผิดชอบ
นางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ผู้เป็นแม่ กล่าวว่าบอกว่า เงินทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านบาทเศษนั้น เป็นเงินตนเองที่จะต้องหมุนเวียนซื้อหมูจำหน่าย ประมาณ 2 แสนบาท ส่วนที่เหลือเป็นของลูกสาว ที่เก็บเงินไว้หวังจะเปิดร้านกิ๊ฟช๊อปอยู่กับบ้าน บ้านก็ทำเสร็จแล้ว ซื้อชั้นวางของมาเตรียมไว้แล้ว แต่จากนี้ไปเงินหมุนเวียนซื้อหมูก็ไม่มี ต้องเอาหมูมาก่อน จ่ายให้ทีหลัง ซึ่งเจ้าของหมูก็ยินยอม ไม่มีเงินลงทุนซื้อของใส่ร้าน ธนาคารควรจะรับผิดชอบเงินทั้งหมด เพราะไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆผ่านแอพธนาคาร และขณะนี้ครอบครัวเดือดร้อนหนัก
ด้านนายไกรสร ชูเพชร ทนายความ กล่าวว่า “หลังจากรับฟังปัญหาแล้ว คิดว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ออกไปจากบัญชีของนางนางนิส ไทรงาม นั้น ไม่ใช่เงินของลูกค้า แต่เป็นของธนาคาร เพราะทางลูกค้าไม่ได้เบิกถอนเงินเอง และยังไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆ ผ่านลิงก์ที่ถูกส่งมา โดยหลักฐาน คือ หน้าจอมือถือค้าง ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้ ช่วงเวลาเดียวกับที่เงินถูกดูดผ่านแอพธนาคารที่ผูกไว้ โดยเป็นการโจรกรรมเงินผ่านลิงก์ปลอมที่อ้างว่าเป็นของกรมสรรพากร ซึ่งหากธนาคารมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ ใครก็ไม่สามารถจะเจาะข้อมูลของธนาคารและดูดเงินไปได้ เงินนั้นจึงเป็นเงินของธนาคาร ไม่ใช่เงินลูกค้า เพราะลูกค้าตัวจริงไม่ได้เบิกถอนเอง จึงเรียกร้องผู้เกี่ยวข้องเร่งหาทางป้องกันการทำธุรกรรมทุกประเภทผ่านระบบอิเลกทรอนิกส์ เพราะตอนนี้เป็นปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต ต้องมีระบบป้องกันปราบปรามป้องกันความเดือดร้อน โดยหลังจากนี้ หากคุยกับธนาคารแล้วธนาคารไม่รับผิดชอบ ตนเองจะแจ้งความดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคาร เพราะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 672 ระบุไว้ชัดเจน ถ้าเราไม่ได้ทำนิติกรรมเบิกถอนเงินจากแบงค์ เท่ากับแบงค์นำเงินไปใช้ แบงค์ต้องรับผิดชอบ และแบงค์ก็ต้องไปดำเนินการกับคนที่ถอนไป และดำเนินคดีอาญาเอาเอง”
ด้าน นายชัยพร ชูเสน ทนายความชาว จ.ตรัง กล่าวว่า เรื่องนี้ทางธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงไทย จะต้องรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมด ไม่ใช้ผลักปัญหาไปให้กับลูกค้าเจ้าของเงิน เพราะเงินอยู่ในธนาคารๆซึ่งรับฝากเงินของลูกค้ามีหน้าที่ต้องดูแลเงินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย ซึ่งกรณีนี้ลูกค้าไม่ได้เป็นผู้ถอน แต่กลายเป็นแก็งค์มิจฉาชีพเป็นผู้ถอน ดังนั้น ธนาคารต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขณะที่ประชาชนก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้แอพพลิเคชั่น เพราะการใช้วิธีผูกบัญชีเงินฝากกับธนาคารขณะนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ธนาคารเองเมื่อส่งเสริมให้ลูกค้าให้ใช้แอพพลิเคชั่นก็ต้องมีระบบป้องกันที่ดี เพื่อรักษาเงินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย แต่เมื่อธนาคารสร้างระบบขึ้นมาโดยไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยเงินฝากที่ดีพอ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับลูกค้า ก็จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เปรียบเสมือนคนไปห้างสรรพสินค้า เมื่อรถหาย ทางห้างสรรพสินค้าต้องรับผิดชอบ ให้ธนาคารไปติดตามคืนหรือดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาเอากับแก็งค์มิจฉาชีพเหล่านั้น พร้อมแนะนำปชช.หากธนาคารเจ้าของบัญชีไม่รับผิดชอบ เจ้าของเงินสามารถแจ้งความดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคาร เพื่อเรียกเงินส่วนที่หายไปกลับคืนได้ เพราะธนาคารมีหน้าที่ดูแลเงินในธนาคาร
ด้านนายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ชำนาญการ ประจำสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดตรัง(ป.ป.ช.ตรัง) กล่าวว่า “ขอเรียกร้องให้พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ลงมาดูแลเรื่องนี้ให้ชาวบ้าน เพราะข้อเท็จจริงที่พบคือ ประชาชนไม่ได้ทำนิติกรรมในการโอน ถอน หรือเอาเงินออกเอง ดังนั้น ธนาคารเองในเมื่อประชาชนไม่ได้เป็นคนโอน ถอน ก็ถือว่าธนาคารไม่มีสิทธิมาหักเงินของลูกค้า อยากให้ทางธนาคารรับผิดชอบในทันที อย่าให้ประชาชนต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคาร เพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ซึ่งชาวบ้านต้องกินต้องใช้มีหนี้สินภาระต้องรับผิดชอบ อยากให้ผบ.ตร.ลงมาดูแลใกล้ชิด เพราะยุคปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และธนาคารเป็นผู้เสนอช่องทางแอพพลิเคชั่นให้ประชาชนใช้ ไม่ต้องเดินทางไปธนาคาร ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยเงินไม่มี ธนาคารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”